ปวดหลังอีกแล้ว ! หากใครยังเป็นวัยรุ่นแต่พูดคำนี้ออกมาบ่อยครั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อาจต้องหันมาดูแลสุขภาพกันหน่อย เพราะถึงแม้จะเป็นวัยรุ่น ก็สามารถปวดเนื้อปวดตัวจากกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งเรียนออนไลน์นาน ๆ หรือการเล่นสมาร์ตโฟนแบบมาราธอน ที่แทบจะกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของร่างกายไปแล้ว
ทั้งนี้ หลายคนอาจคิดว่าอาการปวดหลังเป็นปัญหาของผู้ใหญ่วัยทำงานหรือผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงที่น่าตกใจคือ วัยรุ่นไทยอายุ 13-19 ปีก็กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากการเกิดปัญหากระดูกและกล้ามเนื้อที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งจากการศึกษาของสมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย (Thai Association for the Study of Pain – TASP) พบว่า อาการปวดหลังและปวดเข่าในวัยรุ่น มีจำนวนพุ่งสูงขึ้นถึง ร้อยละ 30-40 ในช่วงปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว
ปัจจุบันวัยรุ่นใช้เวลากับสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมักจะก้มคอมองหน้าจอในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน ทำให้เกิดแรงกดที่กระดูกคอและกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปถึงกระดูกสันหลัง นอกจากนี้ การนั่งหลังค่อมขณะใช้อุปกรณ์เหล่านี้ยังทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักกว่าปกติอีกด้วย
ในยุคที่การเรียนออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติ วัยรุ่นต้องนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน บางครั้งอาจต่อเนื่องถึง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน โดยมักนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสมหรือใช้เก้าอี้ที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการนั่งนาน ๆ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังและกระดูกสันหลังต้องรับแรงกดทับมากเกินไป
แม้ว่าปัจจุบันจะมีการเรียนออนไลน์มากขึ้น แต่ในวันที่ต้องไปเรียนที่โรงเรียน วัยรุ่นส่วนใหญ่มักแบกกระเป๋าที่หนักเกินไป บางคนอาจต้องแบกหนังสือและอุปกรณ์การเรียนที่มีน้ำหนักรวมมากถึง 5-7 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการสร้างแรงกดทับที่ไม่สมดุลให้แก่กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อหลัง
ในช่วงวัยที่กำลังเติบโตและต้องการพัฒนารูปร่างให้ดูดี วัยรุ่นหลายคนหันมาให้ความสนใจกับการออกกำลังกายมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การเริ่มต้นออกกำลังกายแบบหักโหม โดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ก็อาจนำไปสู่การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังได้โดยไม่ตั้งใจได้
อาการที่ควรสังเกตเริ่มต้นคืออาการปวดหลังต่อเนื่อง โดยปกติแล้ว อาการปวดหลังจากการใช้งานมากเกินไปมักจะดีขึ้นเมื่อได้พักผ่อน อย่างไรก็ตาม หากยังรู้สึกปวดแม้ในขณะนอนพัก หรือมีอาการปวดที่รบกวนการนอนหลับ นี่อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่รุนแรงกว่าที่คิด
นอกเหนือจากอาการปวดอย่างต่อเนื่องแล้ว สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือความรู้สึกปวดที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริเวณหลัง แต่กลับร้าวลงไปตามขาหรือมีความรู้สึกชาร่วมด้วย เนื่องจากมักเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอาจมีการกดทับเส้นประสาท ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานอาจส่งผลให้เส้นประสาทได้รับความเสียหายได้
ในขณะที่อาการข้างต้นมักเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ยังมีอีกกรณีที่ต้องระวังคือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ แม้จะดูเป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อย แต่หากมีอาการปวดหลังตามมา ก็ไม่ควรละเลยหรือพยายามรักษาด้วยตนเอง เนื่องจากอาจมีการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง เส้นเอ็น หรือกล้ามเนื้อที่ต้องการการดูแลอย่างถูกวิธี
ที่น่ากังวลยิ่งไปกว่านั้นคือ อาการปวดหลังที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความเจ็บปวดนั้นรบกวนการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหากระดูกสันหลังหรือหมอนรองกระดูกที่ต้องการการดูแลอย่างเร่งด่วน
อาการที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดคือกรณีที่มีไข้ควบคู่กับอาการปวดหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการไข้สูงหรือเป็นไข้ติดต่อกันหลายวัน เพราะอาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อในร่างกายที่ส่งผลกระทบต่อกระดูกสันหลังหรือเนื้อเยื่อโดยรอบ ซึ่งถือเป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน
ไม่เพียงแค่อาการปวดหลังเท่านั้นที่พบได้บ่อยในวัยรุ่น แต่อาการปวดเข่าก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบมากขึ้นในกลุ่มคนอายุน้อยเช่นกัน โดยมีสาเหตุสำคัญ ดังนี้
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มีอาการปวดเข่าในวัยรุ่นเกิดจากการเล่นกีฬาที่หักโหมเกินไป โดยเฉพาะกีฬาที่ต้องกระโดดหรือเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของเอ็นและกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าได้
เมื่อร่างกายต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไป ย่อมส่งผลให้ข้อเข่าต้องรับแรงกดทับมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เกิดการเสื่อมของข้อเข่าได้เร็วกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต
ในช่วงวัยเจริญเติบโต วัยรุ่นหลายคนอาจประสบกับอาการปวดตามข้อต่าง ๆ รวมถึงข้อเข่าด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่กระดูกและกล้ามเนื้อมีการเจริญเติบโตในอัตราที่ไม่เท่ากัน ทำให้เกิดอาการปวดที่เรียกว่า Growing Pains
วัยรุ่นมักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์ การเล่นเกม หรือการใช้สมาร์ตโฟน ซึ่งการอยู่ในท่าเดียวนาน ๆ โดยเฉพาะการนั่งพับเพียบหรือนั่งขัดสมาธิ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาที่ข้อเข่าได้ในระยะยาว
สำหรับวัยรุ่นที่กำลังเผชิญกับปัญหาปวดหลังเรื้อรัง ทางเลือกที่น่าสนใจคือการเข้ารับการรักษาผ่านโปรแกรมรักษาออฟฟิศซินโดรม (Progressive Muscle Relaxation) ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดความตึงตัวของจุดกดเจ็บ (Trigger point) เท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดในกล้ามเนื้อ พร้อมทั้งช่วยปรับสมดุลการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท จึงบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุด
ในขณะเดียวกัน วัยรุ่นที่มีปัญหาปวดเข่า ก็สามารถเข้ารับการรักษาด้วย CTB Program (Cartilage Tissue Biomolecule Program) หรือโปรแกรมรักษาข้อเข่าเสื่อมโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยจะเป็นการรักษาที่ใช้เทคโนโลยีชีวโมเลกุลเพื่อช่วยสร้างเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนและซ่อมแซมผิวข้อที่สึกไป ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือใช้ยา ทำให้ใช้ชีวิตได้ตามปกติระหว่างการรักษา นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเฉพาะบุคคล เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปอย่างยั่งยืนในระยะยาว
Bonefit Clinic คลินิกรักษาอาการปวดหลัง คอ บ่า ไหล่ พร้อมดูแลคุณด้วยทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยทุกช่วงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มวัยรุ่นที่กำลังเผชิญปัญหาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ด้วยการผสมผสานเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและวิธีการรักษาที่ตรงจุด เราพร้อมช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และปราศจากความเจ็บปวดอีกครั้ง
ปัจจุบัน Bonefit Clinic มีสาขาให้บริการในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ได้แก่ สาขาศรีนครินทร์ และสาขาราชพฤกษ์ หากคุณสนใจเข้ารับการรักษา สามารถติดต่อนัดหมายแพทย์ได้ทันทีที่ โทร. 092-629-7964, 095-251-5952 หรือ Line ID: @BONEFIT Clinic
ข้อมูลอ้างอิง
HOME
About Us
Services
Blog
Review & Testimonials
BONEFIT THAILAND
Our Products
OA Knee Center
คลินิกรักษาข้อเข่าเสื่อม, รักษาอาการข้อเข่าเสื่อม, เเพทย์รักษาอาการข้อเข่าเสื่อมโดยไม่ต้องผ่าตัด