คุณกำลังประสบปัญหานี้อยู่หรือเปล่า ? เป็นวัยรุ่น อายุยังไม่เท่าไร แต่นั่งนาน ๆ แล้วปวดหลังมาก บางทีก็ปวดลามไปถึงศีรษะจนรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ได้เลย ขอบอกว่าอย่ามองข้าม เพราะปัญหาดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในผู้สูงอายุเท่านั้น เป็นวัยรุ่นปวดหลังก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน โดยสาเหตุอาจเกิดมาจากการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง เช่น ช่วงโควิดต้องนั่งเรียนหรือทำงานออนไลน์เป็นเวลานาน การใช้สมาร์ตโฟนมากเกินไป หรือการออกกำลังกายที่ไม่ถูกวิธี
เมื่ออาการปวดหลังเกิดขึ้นแล้ว คำถามที่มักจะตามมา คือ ควรเลือกวิธีการรักษาแบบไหน นวดหรือกายภาพบำบัดดีกว่ากัน บทความนี้จะมาช่วยไขข้อสงสัย รวมถึงให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับวัยรุ่นที่กำลังเผชิญปัญหาปวดหลังก่อนวัยอันควร
การนั่งเป็นเวลานานในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นปวดหลัง โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่หลายคนต่างก็ใช้เวลาหน้าคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น การนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสม เช่น หลังงอ ไหล่ห่อ หรือนั่งเอียงตัว จะทำให้เกิดแรงกดทับที่ไม่สมดุลบนกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อ ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยและอักเสบได้ นอกจากนี้ การนั่งนาน ๆ ยังลดการไหลเวียนของเลือดและทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัว ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหลังเรื้อรังในระยะยาว
การใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานานส่งผลให้ต้องก้มคอตลอดเวลา ท่าทางนี้เรียกว่า “Text Neck” ซึ่งทำให้เกิดแรงกดทับบนกระดูกสันหลังส่วนคอและหลังส่วนบนอย่างมาก เมื่อกล้ามเนื้อและเอ็นบริเวณคอและไหล่ต้องทำงานหนักเกินไป ก็จะนำไปสู่อาการปวดเมื่อย ตึง และอาจส่งผลถึงปัญหาการทรงตัวและอาการปวดหลังในระยะยาว นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดปัญหาการหายใจไม่เต็มที่ ซึ่งมีผลต่อการทำงานของระบบประสาทและเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการปวดหลังด้วย
การนอนดึกส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอนและการฟื้นฟูร่างกาย โดยเฉพาะในวัยรุ่นที่กำลังเจริญเติบโตและต้องการการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนไม่เพียงพอหรือนอนในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ แล้วนำไปสู่อาการปวดเมื่อยได้ นอกจากนี้ การนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม เช่น นอนคว่ำ หรือใช้หมอนที่ไม่รองรับสรีระอย่างถูกต้อง อาจทำให้เกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลังและคอ ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังเมื่อตื่นนอนได้
จริงอยู่ที่ว่าการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ แต่หากทำไม่ถูกวิธีก็สามารถนำไปสู่การบาดเจ็บและปวดหลังได้ สำหรับบางคนที่เพิ่งเริ่มเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายอย่างจริงจังอาจไม่ทราบเทคนิคที่ถูกต้อง ทำให้ใช้ท่าทางที่ไม่เหมาะสมหรือใช้กล้ามเนื้อผิดส่วน ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บเฉียบพลันหรือการบาดเจ็บสะสม ยิ่งถ้าหากไม่มีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนและหลังการออกกำลังกาย ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเอ็นเข้าไปอีก โดยเฉพาะบริเวณหลัง
ความเครียดจากการเรียน ความกดดันทางสังคม หรือปัญหาส่วนตัว ล้วนส่งผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวอัตโนมัติ โดยเฉพาะบริเวณคอและหลัง ซึ่งนำไปสู่อาการปวดเรื้อรังได้ ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวลเองก็สามารถเปลี่ยนแปลงการรับรู้ความเจ็บปวดของร่างกาย ทำให้รู้สึกไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้น หรือรับรู้อาการปวดที่รุนแรงกว่าความเป็นจริง ในทางกลับกัน อาการปวดหลังเรื้อรังก็สามารถส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ ทำให้เกิดความเครียดและภาวะซึมเศร้าตามมาได้เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นการสร้างวงจรที่ส่งผลเสียต่อทั้งร่างกายและจิตใจเลยทีเดียว
โรคทางกายบางชนิดก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้วัยรุ่นปวดหลังได้ อย่างภาวะกระดูกสันหลังคด (Scoliosis) ซึ่งเป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อยในวัยรุ่น โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้กระดูกสันหลังโค้งงอผิดรูป ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังและปัญหาการทรงตัว หรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เช่น การล้ม การชน หรือการเล่นกีฬา ก็อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อ หรือเส้นประสาทได้ ตลอดจนโรคข้ออักเสบในวัยเด็ก เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในเด็ก (Juvenile Rheumatoid Arthritis) ซึ่งส่งผลกระทบต่อข้อต่อของกระดูกสันหลัง ทำให้เกิดอาการปวดและจำกัดการเคลื่อนไหว
โดยสรุปแล้ว ถ้าถามว่าเป็นวัยรุ่นปวดหลัง ควรรักษาด้วยการนวดหรือกายภาพบำบัดดีกว่ากัน หากคุณมีอาการปวดเรื้อรังหรือต้องการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน กายภาพบำบัดถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินอาการและรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
เมื่อเริ่มมีอาการปวดหลัง วัยรุ่นควรสังเกตลักษณะของอาการ เช่น ตำแหน่งที่ปวด ความรุนแรง และระยะเวลาที่เป็น หากมีอาการปวดรุนแรง เรื้อรัง หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ชา อ่อนแรง หรือมีไข้ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
เช่น ลดเวลาการใช้สมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์ ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง โดยใช้เก้าอี้ที่รองรับหลังอย่างเหมาะสม และพักสายตาทุก 20-30 นาที นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือทำกิจกรรมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของหลังด้วย
การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันและบรรเทาอาการของเหล่าวัยรุ่นปวดหลัง แต่ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสม เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและเพิ่มความยืดหยุ่น แนะนำให้เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปก่อน แล้วค่อยเพิ่มระดับความจริงจังทีละน้อย หรือหากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมก็จะดีที่สุด
เช่น การฝึกหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ การฟังเพลงที่ผ่อนคลาย หรือแม้แต่การพูดคุยกับเพื่อนหรือผู้ใหญ่ที่ไว้ใจเกี่ยวกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ก็สามารถช่วยลดความเครียดได้เช่นกัน
พยายามนอนให้ได้ 8-10 ชั่วโมงต่อคืน และใช้หมอนที่รองรับคอให้อยู่ในแนวตรงกับกระดูกสันหลัง พร้อมที่นอนที่รองรับสรีระอย่างเหมาะสม ไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป การนอนตะแคงโดยวางหมอนระหว่างเข่าจะช่วยลดแรงกดทับบนหลังได้
การตัดสินใจว่าระหว่างการนวดหรือกายภาพบำบัดดีกว่านั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งความรุนแรงของอาการ สาเหตุของปัญหา และเป้าหมายของการรักษา โดยการนวดอาจเหมาะสำหรับอาการปวดเมื่อยทั่วไปและการผ่อนคลาย ในขณะที่กายภาพบำบัดจะเหมาะกับวัยรุ่นปวดหลังที่ต้องการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุและการป้องกันการปวดซ้ำในระยะยาว
หากคุณเป็นคนอายุน้อยที่มีอาการปวดหลัง ที่ Bonefit Clinic เราเป็นคลินิกกายภาพบำบัดในกรุงเทพฯ รักษาอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยโปรแกรมฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพ อย่าง Progressive Muscle Relaxation โดยสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายจากปัญหาอาการปวดตึงกล้ามเนื้อและพังผืดเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บและการใช้งานที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน รับคำปรึกษา หรือติดต่อทำการนัดหมายได้ที่ โทร. 092 629 7964, 095 251 5952 หรือ Line ID : @BONEFIT Clinic
HOME
About Us
Services
Blog
Review & Testimonials
BONEFIT THAILAND
Our Products
OA Knee Center
คลินิกรักษาข้อเข่าเสื่อม, รักษาอาการข้อเข่าเสื่อม, เเพทย์รักษาอาการข้อเข่าเสื่อมโดยไม่ต้องผ่าตัด