fbpx
แนวทางการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมด้วยการใช้ “วิธีฉีด”

รักษาภาวะข้อเข่าเสื่อมด้วยการฉีดคืออะไร ตอบทุกข้อที่ควรรู้ !

ภาวะข้อเข่าเสื่อม (Knee osteoarthritis) เป็นภาวะที่พบบ่อยที่สุดของโรคทางกระดูกและข้อ และติดอันดับ Top 10 ของภาวะโรคที่ส่งผลให้เกิดทุพพลภาพ ซึ่งคนมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นโรคที่เกิดจากกระดูกอ่อนสึกหรอเพียงอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้ว ภาวะข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของทั้งข้อเข่า

การรักษาภาวะข้อเข่าเสื่อมนั้นจะมีลำดับขั้นของการรักษา ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งาน การลดน้ำหนัก การใช้เครื่องพยุงต่าง ๆ รวมถึงการรับประทานยาแก้ปวดบรรเทาอาการ ไปจนถึงการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนข้อเข่าเทียม แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น เรามีแนวทางการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมด้วยการใช้ “วิธีฉีด” แต่การรักษาในรูปแบบนี้คืออะไร มาทำความเข้าใจเพิ่มเติมได้ในบทความนี้ 

ภาวะข้อเข่าเสื่อมเกิดจากอะไร ?

โครงสร้างข้อเข่าประกอบไปด้วยกระดูกอ่อนผิวข้อ เส้นเอ็น หมอนรองเข่า และเนื้อเยื่อหุ้มข้อเข่า ซึ่งภาวะข้อเข่าเสื่อมจะเกิดจากการที่โครงสร้างทั้งหมดนี้เสื่อมสภาพ ร่วมกับการอักเสบของเนื้อเยื่อข้างเคียงและกล้ามเนื้อรอบหัวเข่า นอกจากนี้ เมื่อกระดูกอ่อนผิวข้อสึกหรอ ยังจะทำให้เกิดการเปลี่ยนเปลี่ยนทั้งโครงสร้าง รูปร่างภายนอก และโครงสร้างในระดับเซลล์

สารที่ใช้ฉีดเพื่อรักษาภาวะข้อเข่าเสื่อม มีอะไรบ้าง ? 

1. การฉีดสเตียรอยด์ (Steroid)

สเตียรอยด์ เป็นยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งและต้านการอักเสบ ทำให้สามารถลดอาการบวม แดง ร้อน รวมถึงลดอาการปวดและกดเจ็บที่เข่าได้ มีทั้งชนิดรับประทานและชนิดฉีด ซึ่งชนิดฉีดสามารถฉีดได้ทั้งเข้าเส้นเลือด เข้าเส้นเอ็น หรือเข้าข้อ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของสเตียรอยด์ที่ใช้

สำหรับการนำมาฉีดข้อเข่า มักใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดข้อที่มีสาเหตุมาจากการอักเสบ โดยตัวยาสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว ลดอาการปวดอักเสบได้ภายใน 24 ถึง 48 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม แม้การฉีดสเตียรอยด์เข้าเข่าจะสามารถลดการอักเสบได้ดี แต่ก็มีผลข้างเคียง เช่น

  • เพิ่มโอกาสติดเชื้อข้อเข่า
  • ทำให้เกิดความเสียหายของเนื้อเยื่อภายในข้อเข่า
  • การระคายเคืองของเส้นประสาทที่เกิดจากเข็มและตัวยา
  • ชั้นผิวบริเวณที่ฉีดบางลงและมีสีผิดปกติ

   

และที่สำคัญ การฉีดสเตียรอยด์เข่าส่วนใหญ่มักจะได้ผลดีในการฉีดครั้งแรก ๆ เท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับการรักษาในระยะยาว เพราะสเตียรอยด์จะเข้าไปรบกวนกระบวนการซ่อมแซมตามธรรมชาติของร่างกาย

   

 2. การฉีดน้ำไขข้อเทียม (Hyaluronic acid)

น้ำไขข้อเทียม คือสารหล่อลื่นประเภทกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) มีคุณสมบัติคล้ายกับน้ำไขข้อตามธรรมชาติในข้อเข่า ทำหน้าที่หล่อลื่นผิวข้อเข่า ให้พื้นผิวกระดูกอ่อนในข้อเข่าไม่เสียดสีกันรุนแรง ป้องกันการเกิดรอยขีดข่วนที่กระดูกอ่อนผิวข้อ และดูดซับแรงกระแทกที่เกิดกับข้อเข่าขณะใช้งาน รวมถึงคุณสมบัติในการลดการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบเข่า ดังนั้น การฉีดกรดไฮยาลูโรนิกจะช่วยให้สามารถเคลื่อนไหวข้อเข่าได้ลื่น คล่องตัว และใช้ข้อเข่าทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ น้ำไขข้อเทียมมีทั้งชนิดโมเลกุลเล็กและโมเลกุลใหญ่ ซึ่งจะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน โดยโมเลกุลใหญ่มีคุณสมบัติในการรับแรงกระแทรก ลดแรงเสียดสีได้ดีกว่าโมเลกุลเล็ก ส่วนชนิดโมเลกุลเล็กสามารถแทรกซึมเข้าเซลล์กระดูกอ่อน ป้องกันการบาดเจ็บต่อเซลล์กระดูกอ่อนได้ดีกว่าโมเลกุลใหญ่

   

การฉีดน้ำไขข้อเทียมเหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมปานกลาง และไม่ได้มีการอักเสบชัดเจน เพราะหากฉีดน้ำไขข้อเทียมขณะที่เข่ายังมีการอักเสบ โมเลกุลของกรดไฮยาลูโรนิกจะถูกทำลาย
  • ผู้ที่อยู่ระหว่างรอการผ่าตัดหรือยังไม่พร้อมที่จะเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม 

   

โดยทั่วไปแล้ว วิธีนี้จะเห็นผลการรักษาได้ในช่วง 2 ถึง 4 สัปดาห์หลังฉีด และจะมีฤทธิ์คงอยู่ประมาณ 6 เดือน สามารถฉีดซ้ำได้หากมีอาการอีก

   

3. การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น PRP

เกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet Rich Plasma หรือ PRP) คือ สารสกัดจากเลือด โดยแพทย์จะทำการเจาะเลือดของคนไข้เพื่อนำมาเข้าเครื่องสกัดเกล็ดเลือดเข้มข้น จากนั้นจึงนำเกล็ดเลือดเข้มข้นฉีดกลับเข้าไปในข้อเข่า ซึ่งเกล็ดเลือดเข้มข้นจะมีส่วนประกอบของสาระสำคัญที่เรียกว่า Growth factor และ Bioactive molecule ที่มีคุณสมบัติดังนี้

  • ลดการอักเสบ ลดปวด
  • เร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เกิดการบาดเจ็บ
  • กระตุ้นให้เกิดการสร้างกระดูกอ่อน (Chondrogenesis)
  • ลดการฝ่อเหี่ยวและเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนผิวข้อ
  • เพิ่มการผลิตของของเหลวหล่อลื่นตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานของข้อเข่าได้

   

การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น PRP เหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมตั้งแต่อายุไม่มาก กระดูกอ่อนยังเสียหายไม่มาก แต่มีอาการปวดข้อเข่าเรื้อรัง และรักษาโดยการใช้ยาแก้ปวดแก้อักเสบแล้วไม่ได้ผล
  • ผู้สูงอายุที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม มีอาการปวดเข่าเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีอาการปวดเข่าจากอักเสบ
  • ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บในเข่า และได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางแล้วว่ามีการฉีกขาดบางส่วนของหมอนรองเข่า หรือเส้นเอ็นหัวเข่า

   

อย่างไรก็ดี การสกัดเกล็ดเลือดเข้มข้นมีกระบวนการเตรียมหลากหลายรูปแบบ และวิธีการที่แตกต่างกันจะมีผลกับความเข้มข้นของสาร Growth factor อันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมดังกล่าว

   

4. การฉีด Stem cell

การฉีดเซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์ (Mesenchymal stem cells) MSCs เป็นเซลล์ที่มีความสามารถในการพัฒนาเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้ เช่น เซลล์กระดูก (Osteocyte) เซลล์กระดูกอ่อน (Chondrocyte) ตามหลักเกณฑ์คุณสมบัติเฉพาะของเซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์ และ International Society for Cell Therapy (2006)

การฉีดเซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์เพื่อซ่อมแซมกระดูกอ่อน ถือเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาภาวะกระดูกอ่อนขาดหาย (Cartilage defect) หรือกระดูกอ่อนบาดเจ็บ (Cartilage injury) ซึ่งยังเป็นเรื่องท้าทายในปัจจุบัน เนื่องจากการรักษาโดยการผ่าตัดปัจจุบันมี 2 แนวทางหลัก ๆ ได้แก่

  • เทคนิค Microfracture กระตุ้นให้เกิดการสร้างกระดูกอ่อนชนิด Fibrocartilage ซึ่งไม่ใช่กระดูกอ่อนผิวข้อปกติที่เป็นกระดูกอ่อนชนิด Hyaline cartilage
  • ปลูกถ่ายเซลล์กระดูกอ่อน โดยการตัดชิ้นเนื้อกระดูกอ่อนจากบริเวณอื่นมาฝังเข้าบริเวณที่ต้องการรักษา ซึ่งต้องใช้เทคนิคการผ่าตัดขั้นสูง และอาจพบเจอปัญหาเกี่ยวกับการไม่เชื่อมติดกันของข้อเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่นำไปฝัง
การฉีดเซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์เพื่อรักษาภาวะกระดูกอ่อนขาดหาย

จากการศึกษาการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์เพื่อรักษาภาวะกระดูกอ่อนขาดหาย พบว่า หลังเข้ารับการรักษา 12 เดือน ผู้ป่วยมีคะแนนความเจ็บปวดลดลง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการรักษา ภาพ MRI จะแสดงให้เห็นว่ากระดูกอ่อนมีการซ่อมแซมอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น จากการส่องกล้องเข้าไปเก็บชิ้นเนื้อออกมาตรวจ ยังพบว่าหลังการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์ ทำให้ได้เซลล์กระดูกอ่อนชนิด Hyaline cartilage, Proteoglycan, Collagen type II ซึ่งเป็นกระดูกอ่อนตามธรรมชาติที่จำเป็นสำหรับกระบวนการซ่อมแซมกระดูกอ่อน

ในขณะเดียวกัน การศึกษาการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์เพื่อรักษาภาวะข้อเข่าเสื่อมระยะที่ 2 ถึง 4 พบว่า ผู้ป่วยมีอาการปวดลดลงและคะแนนคุณภาพชีวิต (WOMAC) ที่ดีขึ้นหลังรักษา 3 เดือน นอกจากนี้ ภาพ MRI ยังแสดงให้เห็นว่ามีการซ่อมแซมของกระดูกอ่อนผิวข้อ โดยมีค่า Poor Cartilage Index (PCI) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญที่ 6 เดือน และ 1 ปี หลังการรักษา ด้วยเหตุนี้ การฉีดเซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์เพื่อซ่อมแซมกระดูกอ่อน จึงเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาภาวะข้อเข่าเสื่อมโดยไม่ต้องผ่าตัด

การฉีดเซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์เหมาะกับใคร ?

อาการปวดหลังเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้น หากพบสัญญาณเตือนที่น่าเป็นกังวล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุและวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

สำหรับผู้ที่ประสบปัญหาปวดหลังจากอาการออฟฟิศซินโดรม ปัจจุบันมีแนวทางการรักษาที่ชื่อว่าโปรแกรม Progressive Muscle Relaxation ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังได้อย่างตรงจุด โดยลดความตึงตัวที่เกิดจาก Trigger Point และเพิ่มการไหลเวียนเลือด พร้อมช่วยปรับสมดุลการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ทำให้รักษาอาการปวด คอ บ่า ไหล่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม มีอาการปวดเข่าเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีการบาดเจ็บของกระดูกอ่อนผิวข้อ
  • ผู้ที่มีภาวะกระดูกอ่อนผิวข้ออักเสบ

แม้ภาวะข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย แต่ปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้เรามีวิธีการรักษาข้อเข่าเสื่อมโดยไม่ต้องผ่าตัดหลายวิธี ตั้งแต่การฉีดสเตียรอยด์ น้ำไขข้อเทียม เกล็ดเลือดเข้มข้น ไปจนถึงการใช้เซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งแต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับระยะของโรคและอาการของผู้ป่วยด้วย 

คุณไม่จำเป็นต้องทนทุกข์กับอาการปวดเข่าหรือกังวลกับการผ่าตัดอีกต่อไป เพราะที่ Bonefit Clinic ศูนย์รักษาภาวะข้อเข่าเสื่อมในกรุงเทพฯ พร้อมให้บริการด้วยโปรแกรม CTB (Cartilage Tissue Biomolecule) เทคโนโลยีล่าสุดในการซ่อมแซมกระดูกอ่อนผิวข้อโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยา และไม่ต้องพักฟื้น ให้คุณกลับมามีสุขภาพเข่าที่แข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ติดต่อสอบถาม หรือทำการนัดหมายได้ที่ โทร. 092 629 7964, 095 251 5952 หรือ Line ID : @BONEFIT Clinic

  

เรียบเรียงโดย นพ. กนกพล ธนกิจรุ่งทวี

แพทย์เฉพาะทางกระดูกและข้อ อนุสาขาข้อเข่าและข้อสะโพก

ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาด้วยเซลล์บำบัด